วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556


เที่ยวเมืองไทย เหมือนได้ไปเมืองนอก...

                    "เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้" วลีเด็ดขององค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็ต้องพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยทุกครั้งไป เพราะใครๆก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แล้ว ยังมีอีกหลายสถานที่ ที่เราเองอาจยังไม่เคยรู้ว่ามีสถานที่แบบนี้ในประเทศไทยเราด้วยหรือ? ทำไมมันสวยงามขนาดนี้ นอกจากความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเหล่านั้นแล้ว ยังมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ สถานที่ท่่องเที่ยวที่สำคัญของต่างประเทศอีกด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปรู้จักกับสถานที่นั้นๆ กันเลยดีกว่า





1 เกาะนามิในเมืองไทย: สวนสนบ่อแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ 
          สำหรับสถาที่แรกที่เราอยากจะมาแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักก็ตือ  เกาะนามิในเมืองไทย สถานที่เหล่านี้มีความละหม้ายคล้ายคลึงกับ เกาะนามิ ของประเทศเกาหลีใต้ แฟนๆ ซีรี่ย์เกาหลีในเมืองไทยหลายคนคงจะชื่นชอบ หากได้มาลองแชะภาพ แอ๊บแบ๊วเป็นนางเอกเกาหลี ดูซักครั้ง ก็ได้ฟิลล์ไปอีกแบบนะค่ะ 

วนสนบ่อแก้ว อยู่บนเส้นทางสายฮอด – แม่สะเรียง กิโลเมตรที่ 36 (อยู่เลยออบหลวงไปไม่ไกล) สวนสนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษและเป็นแปลงทดลองปลูกพืชจำพวกสนสามใบ และยูคาลิบตัส ในเนื้อที่ทั้งหมด 2,072 ไร่ อากาศของที่นี่ชื้นและเย็นตลอดปีเป็นแปลงเพาะพันธุ์สนที่มีแนวต้นสนปลูกเป็นระเบียบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเที่ยวชมในยามเช้าเนื่องจากจะได้สัมผัสกับอาการศที่บริสุทธิ์แล้ว ยังได้เก็บรูปพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่สวนสนบ่อแก้วแห่งนี้ สนในสวนสนบ่อแก้วนี้เป็นสนสามใบจะขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล 500 เมตร



การเดินทาง 
ใช้เส้นทางสายเอเซียเข้านครสวรรค- กำแพงเพชร – ตาก – เถิน จากนั้นใช้เส้นทางออกจากเถิน – ลี้ (106) – ดอยเต่า – ฮอด (1103) ทางช่วงจากเถิน – ลี้ ในช่วงแรก ๆ ประมาณ 19 กม. จะเป็นทางโค้งลับตาเลยครับยังไงก็ขับแบบระมัดระวังถึงโค้งก็บีบแตรรถ (เน้นว่าแตรรถ) เส้นทางลาดยาง 2 เลนรถสวนทางกันจากนั้นก็จะมาพบกับถนนเส้น 108 (เชียงใหม่ – แม่สะเรียง) วิ่งเข้าตัว อ.ฮอด พอถึงวงเวียนหอนาฬิกาก็เลี้ยวซ้ายไป อ.แม่สะเรียงตรงไปประมาณ 30 กม. ก็จะถึงสวนสนบ่อแก้วซึ่งจะอยู่ทางด้านซ้าย เลยออบหลวงประมาณ 20 กม.
รถบริการประจำทาง หากเดินทางมาด้วยรถโดยสารสามารถใช้ได้หลายเส้น คือ เชียงใหม่ – แม่สะเรียง -แม่ฮ่องสอน , เชียงใหม่ – อมก๋อย (สองแถว) แต่เอาง่าย ๆ แนะนำรถบัสสายเชียงใหม่ – แม่สะเรียง โดยไปต่อรถที่ขนส่งอาเขตเชียงแล้วไปลงที่สวนสนบ่อแก้ว







2.สามพันโบก จังหวัด อุบลราชธานีแกรนด์แคนย่อยเมืองสยาม
    สำหรับแก่งหินสามพันโบกนั้น เป็นกลุ่มหินทรายแนวเทือกเขาภูพานตอนปลายที่ทอดตัวยาวริมฝั่งโขงไทยและลาว  สายน้ำแคบและเป็นคุ้งน้ำ  ณ เส้นรุ้งที่ N.15 องศา 47.472 ลิปดา และเส้นแวงที่ E.105 องศา  23.983 ลิปดา ริมฝั่งโขงบริเวณนี้เป็นกลุ่มหินที่เรียงตัวทอดยาว เป็นสันดอนขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ผาหินบริเวณโค้งด้านหน้ารับแรงน้ำที่ไหลจากตอนบน  ก่อเกิดประติมากรรมธรรมชาติที่งดงาม 
                จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โบก อันเกิดจากกระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน  ทราย  และเศษไม้  กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง  มีขนาดเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่จำนวนมากมาย หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ รูปมิกกี้เมาส์จากโบกจำนวนมากมาย   จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า  สามพันโบก 
                แก่งสามพันโบก  เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก  ประมาณเดือนกรกฏาคม – เดือนตุลาคม  และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้  ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายน ทุกปี
ใครที่ชื่นชอบ การถ่ายภาพโขดหินและแอ่งน้ำตื้นตามธรรมชาติที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดยวค่ะ

มี 2 วิธี คือ
วิธีแรก คือ หากต้องการไปชมสามพันโบกเพียงอย่างเดียวก็สามารถขับรถไปที่นั่นเพื่อชมความงามได้เลย เพราะที่ สามพันโบก รถสามารถเข้าไปจอดที่นั่นได้ หรือหากหางเต้นท์ที่นั่น และอยากล่องเรือไปชมยังจุดอื่นๆด้วย สามารถติดต่อขอเช่าเรือได้ที่สามพันโบกได้เลย มีเรือคอยให้บริการมากมาย
วิธีที่ 2 ล่องเรือจากหาดสลึงเพื่อชมความสวยงามทั้งสามพันโบกและตามจุดต่างในบริเวณใกล้เคียง โดยจุดเริ่มต้น ของการล่องเรือหากนักท่องเที่ยวพักที่หาดสลึง ที่สองคอนรีสอร์ท แจ้งทางรีสอร์ทเพื่อให้จัดเตรียมเรือไว้ ราคา 700-1,000 บาท แล้วแต่ขนาดของเรือ หรือหากไม่ได้พักที่นี่ก็สามารถใช้บริการได้ โดยโปรแกรมการล่องเรือ คือ เริ่มต้นที่หาดสลึงซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือ หลังจากนั่นก็จะผ่านไปยัง "ปากบ้อง"จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง และผ่านไป ยังหาดหงส์ และไปสิ้นสุดที่สามพันโบก ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวต้องการไปยังจุด อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น หินหัวพะเนียง และหาดหินสี ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม







  
3.วัดพระธาตุผาแก้ว ภูฎาน เมืองไทย

 ศาสนสถานที่สร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศที่เงียบสงบ เทือกเขาสลับซับซ้อนโดยรอบมีพระเจดีย์ที่งดงามโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา คือ เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต เจดีย์ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยกระเบื้องหลากหลายสี เครื่องประดับ พลอย สร้อย กำไล ถ้วยชามเครื่องเบญจรงค์ เป็นต้น นำมาตกแต่งทีละชิ้นๆ จนทั่วองค์พระเจดีย์ รอบๆ องค์พระเจดีย์แบ่งเป็นสถานที่พักของนักปฏิบัติธรรม และเขตสังฆาวาส แยกเป็นสัดส่วน ที่สะดุดตากว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งอื่นๆ อยู่ที่การสร้างกุฎิ อาคารที่พักของนักปฏิบัติธรรมอย่างสวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติ ด้วยยึดหลักที่ว่า หากได้อยู่ในสถานที่สงบสวยงาม จิดใจก็จะสงบได้โดยง่าย สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบความสงบบโดยแท้จริงค่ะ
การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว : จากกรุงเทพฯ  ใช้ถนนมิตรภาพผ่านจังหวัดสระบุรี  และใช้เส้นทางหมายเลข 21 (สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์)  เมื่อผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ  จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260  ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง  จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 (หล่มสัก พิษณุโลก) และขับต่อตรงไปประมาณ 30 นาที  จะเจอธนาคารกสิกรไทยอยู่ทางซ้ายมือ  ให้กลับรถ  แล้วขับตรงมาจนเจอหลักกิโลเมตรที่ 103  จุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางซ้ายมือ  และจะเห็นป้าย วัดพระธาตุผาแก้ว (พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว) อยู่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้านทางแดงข้าง อบต.แคมป์สน  จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป  ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด  เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้  (ระยะทางจากกรุงเทพ ถึงวัดรวมระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5.30 ชั่วโมง)
การเดินทางโดยรถประจำทาง : สามารถเดินทางมาลงได้ 2 สถานี คือ สถานีหล่มสัก  แล้วเรียกรถต่อไปยังพิษณุโลก  จากนั้นให้ลงหน้าตลาดห้วยไผ่  และเดินตรงไปหน่อยจะเจอปากทางเข้าหมู่บ้านทางแดง  เดินตรงเข้าไปเรื่อย ๆ  เข้ามาประมาณ 20 นาทีจะเห็นสะพานทางเข้าวัดด้านขวามือ
หรือนั่งรถมาลงสถานีตัวเมืองเพชรบูรณ์  โดยในระหว่างวันจะมีรถโดยสารบริการต่อเข้าไปยังตำบลแคมป์สน  อำเภอเขาค้อ  จากนั้นให้ลงรถที่หน้า อบต. แคมป์สน หรือหน้าตลาดห้วยไผ่  เดินตรงไปหน่อยจะเจอปากทางเข้าหมู่บ้านทางแดง  เดินตรงเข้าไปเรื่อย ๆ  เข้ามาประมาณ 20 นาทีจะเห็นสะพานทางเข้าวัดด้านขวามือ



 4.อุทยานแห่งชาติเขาสก กุ้ยหลินเมืองไทย
 ดินแดนศูนย์กลางของ "ขุนเขาแห่งป่าฝน" เป็นผืนป่าดิบชื้นผืนใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญของภาคใต้ มีพื้นที่ทั้งสิ้น 2,296,879.5 ไร่ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อุดมไปด้วยพืชพรรณมากมายหลายชนิด ทั้งพืชพรรณที่หายากและเป็นพืชเฉพาะถิ่น อันได้แก่ บัวผุด ปาล์มเจ้าเมืองถลาง หรือปาล์มหลังขาว และปาล์มพระราหู นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะพบสัตว์ป่าสงวนถึง 4 ชนิด คือ เก้งหม้อ เลียงผา สมเสร็จ และแมวลายหินอ่อน และประกอบกับสภาพพื้นที่มีทิวทัศน์ ที่สวยงาม มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติทั้งน้ำตก หน้าผา ถ้ำ และ ทิวทัศน์เทือกเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านเหนือผืนน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา หรือ เขื่อนเชียวหลาน จนได้รับฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองไทย

มาเที่ยวเขาสกเริ่มต้นอย่างไร 
หากมาเที่ยวโดยใช้บริการของบริษัททัวร์จะเริ่มต้นจากกรุงเทพ หรือเริ่มต้นจากสุราษฎร์ ก็ถือว่าง่ายได้และสบาย เพราะบริษัททัวร์ก็ จะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้หมด  โปรแกรมส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน คือ ใช้เวลาประมาณ 3 วัน 2 คืน ท่องเที่ยวจุดหลักๆของเขาสก 2 จุด คือ เขื่อนเขี่ยวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย และอีกวันก็ไปยังส่วนของอุทยานดูดอกบัวผุดถ้าไม่มีก็จะไปทื่อื่นแทน แต่เที่ยวกับ ทัวร์ราคา ก็จะสูงขึ้นไปตามระเบียบ  แต่ถ้ามาเที่ยวเองล่ะ ทำอย่างไร ยากมั้ย ตอบว่าไม่ยากค่ะ ยิ่งถ้ามาเป็นหมู่คณะก็จะ สะดวก หน่อย โดยเฉพาะในเรื่องของค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าเรือรับส่งจากจุดขึ้นเรือ ซึ่งจะอยู่บริเวณเขื่อนเชี่ยวหลาน  ซึ่งสามารถให้ทางที่ พักติดต่อให้หรือติดต่อที่ท่าเรือจะมีคิวเรือ และต้องแจ้งว่าจะไปแพไหน เพราะราคาค่าเดินทางไม่เท่ากัน เรือเป็นแบบเรือเหมา ถ้าไปน้อยก็หารแพง ไปเยอะซัก 10 คนจะหารถูกเลย หรือรอแชร์กับนักท่องเที่ยวท่านอื่นก็ได้
เรือมี 2 แบบ เรือเล็ก 10 ที่นั่ง และเรือใหญ่ 20 ที่นั่งราคา เรือแบบนอนค้างคืน (เรือจะอยู่กับเราตลอด) คร่าวๆมีตั้งแต่ 1500-2200 ตามระยะทางของที่พักว่าตั้งอยู่โซนใด และหากต้องการไปเที่ยวถ้ำปะการัง ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 700 บาท และถ้าต้องการไปชม บรรยากาศยามเช้าด้วย เพิ่มอีก 500 บาท เรือสามารถสอบถามได้จากแพที่พักค่ะ จะมีคอยให้บริการอยู่  สรุปอยากเที่ยวเก็บ ชมบรรยากาศให้ครบคือ  ไปรับส่งพร้อมชมกุ้ยหลินเมืองไทย 1500- 2200 บาท + เที่ยวถ้ำปะการังเพิ่ม 600  + ล่องเรือชมสาย หมอกยามเช้าเพิ่ม  500 บาท





 

 5.ขุนช่างเคี่ยน ซากุระเมืองไทย
 หรือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่   ตั้งอยู่ใน เส้นทาง เดียวกับพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเศน์ และบ้านม้งดอยปุย สถานีเกษตรที่สูง ขุนช่างเคี่ยนเป็น 1 สถานี เกษตรฯ ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถานีวิจัยเกี่ยวกับ เมล็ด พันธุ์กาแฟ  ไม้ผลเมืองหนาว เช่น ท้อ พลับ บ๊วย พลัม อะโวกาโด มะคาเดเมีย และไม้ผลกึ่งร้อน ได้แก่ ลิ้นจี่ และในทุกๆปีของหน้าหนาวช่วงปลายธ.ค-ม.ค. แต่ในเนื่องการหลังๆ อากาศ เริ่ม แปรปรวนไป ก่อนเดินทางต้องโทรสอบถามไปอีกครั้งว่าบานแล้วหรือยัง ต้นนางพญาเสือโคร่งหรือที่เรียกกันว่าซากุระเมืองไทย สีชมพู สดจะบานสะพรั่งอวดความงามไปทั่วบริเวณ สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูง ขุนช่างเคี่ยน หมู่บ้านชาวม้ง บ้าน ขุนช่างเคี่ยนเต็มไปด้วยสีชมพูของ ต้นนางพญาเสือโคร่งขึ้นอยู่มาก ทั้งตามข้างทางถึงในหมู่บ้าน

1.รถยนต์ส่วนตัว
เส้นทางการเดินทางไปยังขุนช่างเคี่ยนนั้น เราจะใช้เส้นทางเดียวกับการไปดอยสุเทพและหมู่บ้านแม้วดอยปุย ช่วงทางระหว่างเชียงใหม่ถึงบ้านแม้วดอยปุยจะลาดยางเดินทางได้สะดวกค่ะ หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน จะอยู่ทาง ทิศเหนือของ ยอดดอยปุย ห่างจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ประมาณ 8 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 32 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายเชียงใหม่ - พระธาตุดอยสุเทพ ลักษณะถนนจากเมืองเชียงใหม่ถึง พระตำหนักฯ ลาดยางเป็นระยะ ทางประมาณ 12 กิโลเมตร จากนั้นเป็นถนนโรยกรวดขนาดเล็กจาก พระตำหนัก ไปถึงยอดดอยปุยอีกประมาณ 4 กิโลเมตร และเป็นถนนดินที่มีผิวทางค่อนข้างชำรุดจากยอดดอยปุยไปทาง หมู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยนอีกประมาณ 4 กิโลเมตร

เส้นทาง หมู่บ้านม้งดอยปุย ขุนช่างเคี่ยน เส้นทางช่วงนี้เป็นถนนโรยกรวดเล็กๆ + ลูกรัง และทางแคบมาก ควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรถตู้ หากเป็นรถเก๋ง แนะนำให้จอดไว้ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพแล้วเหมารถสองแถวไปจะสะดวกกว่า

2.รถโดยสารสาธารณะ 
การเดินทางมาขุนช่างเคี่ยนอย่างที่บอกค่ะ ถ้าไม่มีรถส่วนตัว ก็ต้องเหมาสองแถว เพราะที่นี่อยู่นอกเหนือเส้นทาง วิ่ง ของรถ ปกติรถสองแถวบริวเวณปากทางขึ้นพระธาตุจะพานักท่องเที่ยวไป 3 จุด คือ พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ และบ้านม้งดอยปุย ส่วนขุนช่างเคี่ยน เลยจากบ้านม้งดอยปุยไปเยอะเหมือนกันทางเป็นทาง ชันแคบดินลูกรัง หากใครต้องการขึ้นมาโดยไม่มีรถส่วนตัว มีหลายทางเลือก คือ
-เหมารถตรงปากทางขึ้นก ็แพงมาก แต่ถ้ามาหลายคนค่าใช้จ่ายน้อยลง แนะนำว่าให้นั่งรถสองแถวไปลง บ้านม้งดอยปุยก่อน แล้วเหมาจากที่นั้นขึ้นไปจะถูกกว่า
- รอให้นักท่องเที่ยวนั่งเต็มคันซึ่งก็นานอีก
- เช่ามอเตอร์ไซต์ขับขึ้นไปเองแต่อันตรายพอสมควร ต้องขับรถชำนาญ


 

6.Palio หรือ ปาลิโอ อิตาลี เมืองไทย

ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา Palio เขาใหญ่  ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันประมาณ 120 ร้าน มีสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง, งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ, ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย, ร้าน Spa, ร้านขายยา, ร้านขายหนังสือ และศูนย์อาหาร ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่ 

Palio Khao Yai ตั้งอยู่ในเส้นถนนธนะรัชต์ถนนเส้นที่จะเดินทางไปเขาใหญ่ ใกล้ๆกับจุลดิศ หากมาจาก กรุงเทพ ก็ขับไปทางสระบุรี แล้วเลี้ยวขวาจนมาถึงบริเวณ ปากช่อง ก็สังเกตป้ายว่า ไปเขาใหญ่ จากนั้นขับ ไปเรื่อยๆสังเกต ทางด้านซ้ายก็จะเห็น ทางเข้า ปาลิโอ (Palio Khao Yai)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.palio-khaoyai.com




 7.ปราสาทสัจธรรม เขมรในเมืองไทย

     เป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ ณ บริเวณแหลมราชเวช ตำบลนาเกลืออำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีในเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ เป็น ชาวบ้านเรียกชื่อปราสาทแห่งนี้โดยทั่วไปว่า "วังโบราณ" หรือ "ปราสาทไม้"  ทุก ๆ ชิ้นส่วนที่ถูกนำมาก่อสร้างปราสาทสัจธรรมแห่งนี้จะเป็นไม้ทั้งหมด แม้แต่ตัวล็อกที่เอาไว้เชื่อมไม้แกะสลักแต่ละชิ้น ไม่ได้ใช้ีตะปู แต่ใช้ แต่ใช้ระบบเข้าเดือยไม้แบบไทย หรือ ใส่สลักไม้   ปราสาทสัจธรรมเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของศาสนา ปรัชญา จริยธรรม อารยธรรม วัฒนธรรมดีงามของชาวเอเชียตะวันออก ซึ่งสะท้อนถึงจริยธรรม วัฒนธรรมหน้าที่ศีลธรรมในอดีต สู่รูปองค์เทพต่างๆ เจ้าของความคิดและผู้ดำเนินการก่อสร้างคือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เรียกอาคารแห่งนี้ว่า"ปราสาทสัจธรรม"ภายใน ปราสาทได้แฝงเนื้อหาทางปรัชญา และศิลปวัฒนธรรมันเป็นมรดกของมนุษย์ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนา ในฐานะเป็น เครื่องค้ำจุนโลก โดยเน้นหลักสำคัญคือ "ก่อกำเนิดทั้ง 7 และคุณธรรมข้อประพฤติปฏิบัติทั้ง 4" ปราสาทสัจธรรมได้รับรางวัล ประเภทรายการแหล่งท่องเที่ยวดีเด่น จากรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2551


การเดินทาง
          ทางเข้าปราสาทสัจธรรมอยู่บริเวณซอยนาเกลือ 12 ตรงเข้าไปจนเกือบสุดซอย มีซุ้มประตูขนาดใหญ่ของปราสาทสัจธรรมอยู่ทางขวามือ (ห่างจากพัทยาใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร)

          เวลาทำการ : 08.00-17.00 น. ทุกวัน
          ค่าเข้าชม :  ผู้ใหญ่  500 บาท  เด็ก  250 บาท

          ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-3836-7815, 0-3836-7229, 0-3822-5407 และเว็บไซต์ www.sanctuaryoftruth.com







8. โบสถ์อัสสัมชัญ บางรัก นครรัฐวาติกัน เมืองไทย
 เพียงก้าวแรกที่ได้เข้ามา ก็คล้ายถูกสะกดด้วยความสวยงามแบบสถาปัตยกรรมสไตล์เรเนอซองส์ ทั้งผนัง เพดาน ปะติมากรรมปูนปั้น ที่แสดงเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ‘โบสถ์อัสสัมชัญ บางรัก’ ดูช่างคล้ายกับมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในนครรัฐวาติกันจริงๆเลยล่ะค่ะ ด้วยอายุที่เก่าแก่ถึง 200 ปี โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของคริสต์ศาสนิกชนที่เพิ่มมากขึ้น ถูกใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ หรือใช้จัดเป็นสถานที่ wedding ก็งดงามที่สุดที่นึงเลยล่ะ

แผนที่การเดินทาง
 



 9.เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ฮ่องกงเมืองไทย

     ถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แนวคิด Festival Market and Living Museum แหล่งท่องเที่ยวและไลฟไสตล์ช้อปปิงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เป็นพื้นที่ซึ่งได้ออกแบบให้พร้อมด้วยองค์ประกอบหลากหลาย เพื่อรองรับและเติมเต็มความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนหลากหลายกลุ่มได้อย่างครบครัน นอกจากนี้ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้สอดแทรกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อเป็นการให้ความรู้ในลักษณะจดหมายเหตุ เกี่ยวกับความสำคัญในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยา การค้าขายกับต่างประเทศในยุคล่าอาณานิคม พร้อมบอกเล่าถึงความเจริญของสถาปัตยกรรมในยุคนั้น ด้วยการปรับปรุงอาคารเก่า และรักษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในสภาพเดิมไว้เกือบทั้งหมด


 แผนที่การเดินทาง


เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์


นอกจากสถานที่สวยๆ เหล่านี้แล้ว เมืองไทยของเรายังมีสถานที่สวยๆ อีกมากมาย ไปชมจากวิดิโอที่นำมาฝากกันเลยค่ะ

                                        





ขอบคุณวิดิโอดีๆ จาก

http://www.youtube.com/watch?v=0xVOV_XCnHw

 เห็นไหมละคะเพื่อนๆว่าเมืองไทยของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายแค่ไหน เพื่อนๆคนไหนที่สนใจอยากจะไปเที่ยวชมสักครั้ง ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลด้านเส้นทางและเช็คสภาพอากาศกันให้ดีก่อนเดินทางด้วยนะคะ...^_^



ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก

http://www.mglobemall.com
http://travel.kapook.com/view40323.html
http://www.dek-d.com/board/view/3010255/
http://travel.mthai.com/blog/5760.html
http://travel.kapook.com/view8987.html
http://goubon.blogspot.com/2012/03/blog-post_25.html